Home
ความหมายคำว่า “ประวัติศาสตร์”
เหตุการณ์สำคัญในสมัยสุโขทัย
เหตุการณ์สำคัญในสมัยอยุธยา
สงครามช้างเผือก
การประกาศอิสรภาพและยุทธหัตถี
สงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1
สงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่2
เหตุการณ์สำคัญในสมัยกรุงธนบุรี
การตั้งตัวในหัวเมืองฝ่ายตะวันออก
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชผู้กอบกู้แผ
การกอบกู้อิสรภาพ
พระเจ้าตากตั้งธนบุรีเป็นราชธานี
เหตุการณ์สำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สงครามเก้าทัพ พ.ศ. 2328
สงครามท่าดินแดง
สนธิสัญญาเบาว์ริง
ผลเสียของสนธิสัญญาเบาว์ริง
สงครามโลกครั้งที่ 2
แบบทดสอบ
อ้างอิง
แสดงความคิดเห็น
เหตุการณ์สำคัญ
"ใน
สมัยสุโขทัย"
Button Text
ความเป็นมาและเหตุการณ์สำคัญในสมัยสุโขทัย
จากการศึกษาร่องรอยทางโบราณและโบราณวัตถุ ศิลาจารึกและตำนานพงศาวดารท้องถิ่นหลายฉบับทำให้เข้าใจว่า ระยะก่อนปี พ.ศ. 1761 นั้นปรากฏว่าอำนาจของอาณาจักรเขมรรุ่งเรืองมากในดินแดนสุวรรณภูมิโดยเฉพาะตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ. 1600 เป็นต้นมา จนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
อาณาจักรเขมรมีศูนย์กลางอำนาจทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่เมืองละโว้
(ลพบุรี) อาณาจักเขมรมีการปกครองแบบประชาธิปไตยกษัตริย์จะส่งขุนนางมาปกครองเมืองบริวารโดยเมืองบริวารจะต้องส่งส่วยเป็นเครื่องราชบรรณาการให้แก่นครหลวง ขณะเดียวกับบางท้องถิ่นอาจเป็นอิสระมีอำนาจปกครองตนเอง กลุ่มชนมีขนาดไม่ใหญ่โตผู้ปกครองเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากกลุ่มชนให้เป็นผู้ปกครองไม่มีความซับซ้อนในการปกคอรงเพราะประชาชนยังมีน้อยบริเวณที่มีความสำคัญในบริเวณภาคเหนือตอนล่าง คือ
1. บริเวณเมืองศรีเทพ ลุ่มแม่น้ำป่าสัก ซึ่งมีซากโบราณสถานเป็นปรางค์ที่สร่างด้วยศิลาแลงและอิฐ
รวมทั้งเทวรูปศิลาหลายองค์ ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นศิลปกรรมแบบเขมร
2. บริเวณเมืองสองแคว(พิษณุโลก) ซึ่งปรากฏมีโบราณสถานเป็นศิลปกรรมแบบเขมร ได้แก่ พระปรางค์วัดจุฬามณีซึ่งก่อสร้างด้วยศิลาแลง
3. บริเวณเมืองสุโขทัย และเมืองศรีสัชนาลัย
ซึ่งมีโบราณสถานที่เป็นศิลปกรรมแบบเขมร คือ พระปรางค์วัดเจ้าจันทร์ พระปรางค์ 3
องค์วัดพระพายหลวง ศาลตาผาแดง และฐานพระปรางค์วัดศรีสวาย เมืองเก่าสุโขทัย
เป็นต้น
สุโขทัยในฐานะที่เป็นแคว้นทางการปกครองอย่างเป็นเอกเทศได้ปรากฏรูปร่างขึ้นมาเมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 เมื่อวีรบุรุษไทย 2 คน คือพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดและพ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยาง สหายทั้ง 2 ท่านได้ร่วมมือกันยึดเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัยคือมาจากข้าศึกที่ชื่อว่า “ขอมสบาดโขลญลำพง”
เมืองสุโขทัยเดิม พญาศรีนาวนำถมเป็นเจ้าเมืองครองอยู่ แต่ครั้งเมื่อพญาศรีนาวนำถมถึงแก่กรรมลง ได้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น โดยต้องตกอยู่ในอำนาจปกครองของขอมสบาดโขลญลำพง ดังนั้น พ่อขุนผาเมืองผู้เป็นโอรส จึงได้ร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาวยึดอำนาจคือสำหรับพ่อขุนผมเองนั้นนอกจากเป็นโอรสของเจ้าเมืองสุโขทัยเก่าและเป็นเจ้าเมืองราดแล้วยังดำรงฐานะเป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์เขมร และได้รับมอบนามเกียรติยศคือ “ศรีอินทราบดินทราทิตย์” กับพระขรรค์ชัยศรีจากกษัตริย์เขมรด้วเมื่อทั้งสองยึดเมืองศรีสัชนาลัยกับสุโขทัยได้แล้วพ่อขุนผาเมืองจึงได้มอบเมืองสุโขทัยให้สหายตนครอบครองพร้อมทั้งนามเกียรติยศตนให้แก่สหาย ส่วนตัวเองกลับไปครองเมืองราดเช่นเดิมด้วยเหตุนี้ พ่อขุนบางกลางหาวจึงได้เป็นที่รู้จักกันภัยหลังในนามว่า “ศรีอินทราบดินทราทิตย์” หรือ “ศรีอินทราทิตย์” พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ครอบคอรงสุโขทัยเป็นศุนย์กลางมีอำนาจอยู่แถบบริเวณลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำปิงตอนล่างทรงมีโอรสที่ปรากฏนามอยู่สองพระองค์ คือ พ่อขุนบานเมืองผู้พี่และพ่อขุนรามราชผู้น้อย
ในขณะนั้นบ้านเมืองยังอยู่ในความไม่สงบยังมีผู้นำของกลุ่มชนอิสระอยู่อีกหลายกลุ่มที่คิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ดังนั้นในการรวบรวมกลุ่มชนต่าง ๆ เหล่านั้นเข้าด้วยกันจึงต้องมีการทำสงครามต่อสู้กันดังเช่นครั้งหนึ่งเมื่อพ่อขุนรามราช อายุได้ 19 ปี ประมาณปี พ.ศ. 1800ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดตีเมืองตากซึ่งเป็นเมืองอยู่ในอาณาเขตปกครองของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครั้งนั้นพ่อขุนรามราชได้ช่วยพระราชบิดาออกสู้รบด้วยและสามารถชนช้างชนะขุนสามชนได้ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงหนามพ่อขุนราชราชว่า “พระรามคำแหง” เมื่อขุนศรีอินทราทิตย์สิ้นพระชนม์พ่อขุนบานเมือง ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา
แต่อยู่ในช่วงระยะสั้น ๆ ไม่ปรากฏเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อพ่อขุนบานเมืองสิ้นประชนม์ ในปี พ.ศ.1822 พ่อขุนรามคำแหงจึงได้ครองราชย์ต่อมาและได้ทรงเป็นมหาราชพระองค์แรงของชนชาติไทย
ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชถือได้ว่าเป็นยุคทองของสุโขทัยอาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรือกว่าในรัชกาลใด ๆ ในราชวงศ์พระร่วงราชอาณาจักรแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวาง
ทิศเหนือ
อาณาเขตถึงเมืองหลวงพระบาง โดยมีเมืองต่าง ๆ คือ เมืองแพร่ เมืองน่าน
เมืองปัว
ทิศใต้
อาณาเขตถึงฝั่งทะเลสุดเขตมาลายู โดยมีเมืองต่าง ๆ คือ เมืองคนที เมืองพระบาง
เมืองแพรก เมืองสุพรรณภูมิ เมืองเพชรบุรี และเมืองนครศรีธรรมรา
ทิศตะวันออก
อาณาเขตถึงเมืองเวียงจันทน์ และเมืองเวียงคำ โดยมีเมืองสระหลวง
เมืองสองแคว เมืองลุมบาจาย และเมืองสคา
ทิศตะวันตก
อาณาเขตถึงเมืองฉอด และเมืองหงสาวดี
ในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช บ้านเมืองอยู่อย่างสงบมีความร่วมเย็นเป็นสุขดังที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” การพาณิชย์เจริญก้าวหน้าพระองค์ได้ทรงวางระเบียบปกครองบ้านเมือง ทั้งยังประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1826กับทั้งทรงดูแลการเพิ่มผลผลิตของประชากร เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอาณาจักรพระราชโอรสพระองค์หนึ่งของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือ พญาเลอไทซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพระมหาอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัยในขณะที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชครองราชสมบัติอยู่เมือพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสวรรคตในราว พ.ศ. 1842 เมืองต่างที่เคยอยู่ในอำนาจของอาณาจักรสุโขทัยได้แตกแยกกันออกเป็นอิสระทำให้เสถียรภาพของอาณาจักรสุโขทัยอยู่ในฐานะที่คับขันกษัตริย์ที่ครองราชสมบัติสืบต่อจากพ่อขุนรามคำแหง คือ พญาไสสงคราม การที่เมืองต่างๆ พยายามแยกตัวออกเป็นอิสระ รวมทั้งเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงพยายามแยกตัวออกไปแสดงให้เห็นว่าถ้าไม่เกิดความยุ่งยากในราชวงศ์ก็ขึ้นอยู่กับการปกครองเป็นสำคัญเพราะการปกครองในสมัยนั้นเป็นแบบนครรัฐคือแต่ละเมืองก็มีผู้ปกครองนครเป็นอิสระเข้ามารวมกันได้ก็เพราะศรัทธาในกษัตริย์องค์เดียวกันเท่านั้น หลังจากรัชกาลของพญาไสสงครามแล้วพญาเลอไทได้ครองราชสมบัติต่อมาราว พ.ศ. 1866 ซึ่งน่าจะต้องดำเนินนโยบายในการพยายามรวบรวมอาณาจักรเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตลอดระยะเวลา18 ปี ที่พระองค์ครองราชสมบัติอยู่นั้นไม่มีรายละเอียดปรากฏอยู่มากนักพระองค์สวรรคตราวปี พ.ศ. 1884 ต่อจากรัชกาลพญาเลอไทยมีกษัตริย์ที่ออกพระนามในศิลาจารึกอีกพระองค์หนึ่ง คือ พญางัวนำถม
ในฐานะพระอนุชาแต่เป็นโอรสของพ่อขุนบานเมือง ได้ขึ้นครองเมืองสุโขทัยและได้โปรดให้พญาลิไท
ผู้เป็นโอรสของพยาเลอไทไปครองเมืองศรีสัชนาลัยในฐานะอุปราชครองเมืองลูกหลวงเมื่อพญางัวนำถมสวรรคตในราว พ.ศ. 1890 เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในราชสำนักกรุงสุโขทัยที่ไม่ชอบตามขนมธรรมเนียมบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ แสดงตัวอย่างเปิดเผยถึงการดำรงอยู่อย่างอิสระไม่ยอมขึ้นกับส่วนกลาง
พยาลิไทยจึงลอยเสด็จยกทัพจากเมืองศรีสัชนาลัยใช้กำลังเข้าขึดเมืองไว้ได้แล้วปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์กรุงสุโขทัย ทรงพระนามว่า “ศรีสุริพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช” เมืองครองกรุงสุโขทัยแล้วทรงปราบปรามเจ้าเมืองต่าง ๆภายในเขตแคว้นแล้วแต่งตั้งพระบรมวงศานุวงศ์ที่ไว้วางพระราชหฤทัยไปปกครองรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง คือ กรุงสุโขทัยบ้านเมืองจึงอยู่ด้วยความสงบเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง
ความพยายามของพระมหาธรรมราชาลิไท ภายหลังขึ้นครองราชสมบัติแล้ว คือ ความมุ่งหวังที่จะรวบรวมเมืองต่าง ๆที่แตกแยกกันออกไปให้กลับเข้ามารวมในอาณาจักรเดียวกันอีกและมีความหวังว่าจะให้มีอาณาเขตใหญ่โตเท่กับสมัยพ่อขุนรามคำหงมหาราชจนถึงกับเสด็จไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่และกระทำกิจทางศาสนาซึ่งขณะเดียวกันก็แสดงให้เมืองต่าง ๆ ที่พระองค์เสด็จไปเห็นว่าพระองค์มีแสนยานุภาพและมีพระราชอำนาจเต็มในกิจการต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ เช่นในปี พ.ศ. 1902 พระองค์เสด็จยกทักไปตีเมืองแพร่กวาดต้อนครัวเรือนมาเป็นข้าพระทีวัดป่าแดงศรีสัชนาลัยและในปีนั้นก็ได้ประดิษฐ์รอยพระพุทธบาทจำลองที่เขาสุมนกูฎ เมืองสุโขทัย ในฐานะผู้ครอบครองแคว้นสุโขทัย
พระมหาธรรมราชาลิไท ทรงพยายามดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
คือ เป็นทั้งนักปราชญ์ผู้สนพระทัยในทางศาสนา โดยให้ความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระพุทธศาสนายังที่ต่าง ๆ ที่พระองค์ต้องการเป็นพันธมิตรด้ว เช่น เมืองน่าน หลวงพระบาง และกรุงศรีอยุธยาแต่ขณะเดียวกันก็ได้สดวงบทบาทของการเป็นนักรบที่พยายามขยายอำนาจของแคว้นสุโขทัยให้กว้างขวางยิ่งขึ้นในสมัยของพระองค์ นอกจากจะได้ยกทัพไปตีเมืองแพร่ทางทิศเหนือแล้ว ทางทิศตะวันออกได้พยายามขยายขอบเขตออกไปถึงเมืองลุ่มแม่น้ำป่าสักจากบทบาทการเป็นนักรบของพระองค์ที่ขยายพระราชอำนาจไปยังเมืองลุ่มแม่น้ำป่าสักนี้เองทำให้กระทบกระทั่วกับกรุงศรีอยุธยา ที่มีความเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองแถบนั้นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) จึงเสด็จลอบยกทัพมายึดเมืองสองแควไว้ได้และได้โปรดให้ขุนหลวงพ่องั่วพระเชษฐาของพระมเหสี ซึ่งขณะนั้นครองเมืองสุพรรณบุรี มาปกครองเมืองสองแคว ทำให้พระมหาธรรมราชาลิไท ต้องถวายบรรณาการเป็นอันมากในที่สุดสมเด็จพระรามิบดีที่ 1 จึงทรงมอบเมืองสองแควคือและโปรดให้ขุนหลวงพ่องั่วไปครองเมืองสุพรรณบุรีดังเดิม
ในการคืนเมืองสองแควนั้นสมเด็จพระรามิบดีที่ 1 ทรงตั้งเงื่อนไขว่า พระมหาธรรมราชาลิไทต้องเสด็จไปประทับที่เมืองสองแควจึงเป็นเหตุให้แคว้นสุโขทัยที่เริ่มจะรวมตัวกันได้ต้องสั่นคลอนเมื่อพระมหาธรรมราชาลิไทเสด็จไปประทับอยู่เมืองสองแควได้โปรดให้พระอนุชาปกครองเมืองสุโขทัยแทน
ในปี พ.ศ. 1912 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 สวรรคตสมเด็จพระราเมศวรขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อพระมหาธรรมราชาลิไททรงทราบจึงคาดสถานการณ์ว่า ทางกรุงศรีอยุธยาต้องมีเหตุไม่เรียบร้อยขึ้นแน่
พระองค์จึงรวบรวมพลจากเมืองต่าง ๆ ในแคว้นสุโขทัยที่เจ้าเมืองยังคงจงรักภักดีต่อพระองค์ เสด็จยกพลมายังกรุงสุโขทัยการเสด็จกลับคืนสุโขทัยในครั้งนี้ หลังจากที่ต้องทรงประทับอยู่ที่เมืองสองแควถึง 7
ปี จึงเป็นการเตรียมการที่จะใช้ตำแหน่งของเจ้าเมืองสุโขทัยอันเป็นบัลลังก์ที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้สั่งสมอำนาจไว้นั้นเพื่อเป็นศูนย์ลางในการระดดมกำลังก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยมีฐานะมั่นคงสืบไปพระองค์ทรงเริ่มบทบาทโดยการเป็นพันธมิตรกับแคว้นล้านนา ซึ่งขณะนั้นมีพระเจ้ากือนาเป็นกษัตริย์ปกครอง
โดยพระองค์ได้ส่งตระสุมนะเถระเป็นสมณะทูตขึ้นไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองเชียงใหม่
ในปี พ.ศ. 1913 ขุนหลวงพ่องั่ว ซึ่งขึ้นครองเมืองสุพรรณบุรี ได้เห็นความเคลื่อนไหวของพระมหาธรรมราชาลิไทที่กรุงสุโขทัย พระองค์จึงเข้ายึดอำนาจกรุงศรีอยุธยาด้วยความยินยอมของสมเด็จพระราเมศวรซึ่งได้ทรงกลับไปครองเมืองลพบุรีตามเดิม ขุนหลวงพ่องั่วเสด็จขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า“สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1”พระมหาธรรมราชาลิไท เสด็จสวรรคตเมื่อปีใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดแต่สันนิษฐานว่าอยู่ในระหว่าง พ.ศ. 1913-1916 หลังจากนั้นอาณาจักรสุโขทัยเกิดความแตกแยกเนื่องจากขาดผู้นำอาณาจักรที่เป็นที่ยอมรับของญาติพี่น้องที่ครองเมืองต่างๆ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 จึงเสด็จขึ้นมายึดอาณาจักรสุโขทัยได้ทั้งหมดหากแต่ยังโปรดให้เชื้อพระวงศ์ทางสุโขทัยปกครองตนเอง โดยขึ้นตรงกับอาณาจักรอยุธยาคือพระมหาธรรมราชาที่ 2 ซึ่งในสมัยของพระองค์อาณาจักรสุโขทัยอยู่ในฐานะเป็นรัฐกันชนระหว่างอาณาจักรเชียงใหม่กับอาณาจักรอยุธยาซึ่งต่างก็แสดงความเคลื่อนไหวในการที่จะผนวกเอาดินแดนของอาณาจักรสุโขทัยตลอดเวลาฝ่ายกรุงศรีอยุธยาพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพ่องั่ว)พระองค์ทรงเกรงว่าอาณาจักรสุโขทัยจะมีไมตรีกับอาณาจักรเชียงใหม่เพราะหากทั้งสองอาณาจักรร่วมมือกันแล้วจะทำให้อาณาจักรอยุธยาอยู่ในฐานะลำบาก จึงทรงยกทัพมาปราบปรามหัวเมืองชายแดนที่ติดต่อกับอาณาเขตของสุโขทัยและหาเหตุเข้าโจมตีเมือง ในอาณาจักรสุโขทัยด้วยตามพงศาวดารอยุธยากล่าวว่า
พ.ศ. 1914 สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพ่องั่ว) มีชัยชนะต่อหัวเมืองเหนือทั้งปวง
พ.ศ. 1915 อยุธยายกทัพไปตีเมืองนครพังคา และเมืองแสงเชรา
พ.ศ. 1916 อยุธยายกทัพไปตีเมืองชากังราว พญาไสแก้วกับพญาคำแหงสู้รบป้องกันเมืองจนพญาไสแก้วเสียชีวิตในที่รบพญาคำแหงถอยทัพกลับเข้าเมืองได้
พ.ศ. 1918 อยุธยายกทัพไปตีเมืองพิษณุโลก ขุนสามแก้วเจ้าเมืองพิษณุโลกถูกจับได้ทัพอยุธยาได้เมืองและกวาดต้อนผู้คนจากเมืองพิษณุโลกกลับมามาก
พ.ศ. 1919 อยุธยาไปตีเมืองชากังราวครั้งที่สองคราวนี้กองทัพพญาผากองเจ้าเมืองน่านมาช่วยรบร่วมกับพญาคำแหงด้วยแต่ก็ไม่สามารถสู้กองทัพอยุธยาได้ พญาผาเมืองยกกองทัพหนีไปกองทัพอยุธยาตามจับตัวแม่ทัพนายกองได้มาก
พ.ศ. 1921 อยุธยายกกองทัพไปตีเมืองชากังราว เป็นครั้งที่ 3 พระมหาธรรมราชายกกองทัพออกมาป้องกันเมืองด้วยพระองค์เอง แต่ก็ต้อยยอมพ่ายแพ้แก่กองทัพอยุธยาจนถึงกับต้องยอมถวายบังคมอ่อนน้อมต่ออาณาจักรอยุธยาเมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 2 ยอมถวายบังคมต่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชแห่งอยุธยาแล้วเสถียรภาพทางการเมืองของสุโขทัยยิ่งลดน้อยลงตามลำดับทั้งนี้เพราะถูกอาณาจักรอยุธยาจำกัดอำนาจลงกับรวมทั้งการที่กษัตริย์สุโขทัยย้ายที่ประทับอยู่ที่เมืองสองแควด้วย
พระมหาธรรมราชาที่ 2 สวรรคตราว พ.ศ.1942 และพญาไสสือไทยขึ้นครองราชสมบัติต่อมา ทรงพระนามว่า “พระมหาธรรมราชาที่ 3” อาจกล่าวได้ว่าภายหลังที่ทางอาณาจักรอยุธยาตัดกำลังหัวเมืองต่าง ๆของของสุโขทัยลงแล้ว เสถียรภาพทางการเมืองของอาณาจักรสุโขทัยก็ทรงลงและยากที่จะแก้ไขให้มั่นคงขึ้นได้เนื่องจากอาณาจักรอยุธยาสามารถขยายตัวออกไปได้อย่างกว้างขวางแต่ถึงกระนั้นพระมหาธรรมราชาที่ 3 ก็ได้ทรงกูเสถียรภาพทางการเมืองของสุโขทัยโดยได้ทรงยกองทัพออกไปกราบปรามหัวเมืองต่าง ๆให้อยู่ในอำนาจแม้จะไม่ได้มากเท่ากับครั้งพญาลิไทก็ตามแต่พระองค์ก็ได้ทำสงครามหลายครั้ง รวมทั้งเคยยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.1945 ด้วย ซึ่งไม่จะไม่ได้ผลทางชัยชนะเลยก็ตามแต่เป็นการแสดงถึงความพยายามในการสร้างอาณาจักรให้มีเสถียรภาพมายิ่งขึ้นกว่าการเป็นรัฐกันชนขนาดเล็กที่อาจถูกผนวกไปอยุ่กับดินแดนของอาณาจักรใดอาณาจักหนึ่งได้ พญาไสสือไท ทรงมีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ พญาบาล และพญาราม หลังจากที่พญาไสสือไทเสด็จสวรรคต ในปี พ.ศ. 1962
ก็เกิดจลาจลแย่งชิงราชสมบัติสมเด็จพระนครินทรราชาธิราช (พระอินทราชาธิราช)กษัตริย์อยุธยาต้องยกทัพมาปราบจลาจลโดยยกทัพไปถึงพระบาง (นครสวรรค์) พญาบาล และพญารามต้องออกมากราบบังคมต่อสมเด็จพระนครินทราชาธิราชจึงโปรดให้สถาปนาพญาบาลครองเมืองพิษณุโลกทรงพระนามว่าพระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาลมหาธรรมราชาธิราชและพญารามโปรดให้ครองเมืองสุโขทัย
พระเจ้าศรีสุริยวงศ์บรมปาลครองราชสมบัติอยู่19 ปี จึงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.1981 การสวรรคตของพระเจ้าสุริยวงศ์บรมปาล (พระมหาธรรมราชาที่ 4)นักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นการสิ้นสุดยุคอาณาจักรสุโขทัยด้วย เมื่อพระเจ้าสุริยวงศ์บรมปาลสวรรคตสมเด็จพระบรมราชาที่2 (เจ้าสามพระยา) จึงโปรดให้สถาปนาพระราเมศวรราชโอรสซึ่งประสูติจากเจ้าหญิงสุโขทัยพระองค์หนึ่งซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 7 พรรษา เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองสองแควทั้งนี้เพราะทรงเห็นว่าเป็นพระราชโอรสที่มีเชื้อสายทางเจ้านายฝ่ายสุโขทัยคงจะเข้ากับทางราชวงศ์สุโขทัยได้ดีและเท่ากับเป็นการผนวกดินแดนของอาณาจักรสุโขทัยในตัวไปด้วยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เสด็จสวรรคตเมือปี 1991
พระราเมศวรอุปราช จึงเสด็จจากเมืองสองแควไปครองกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ส่วน ที่เมืองสองแควโปรดให้พระยุษธิฐิระโอรสของพญารามเป็นเจ้าเมืองแต่ก็ทรงรวมอำนาจจาการบริหารราชการแผ่นดินเข้าสู่ส่วนกลางที่กรุงศรีอยุธยา ฝ่ายพระยุษธิฐิระไม่พอใจอย่างมากที่เป็นเพียงเจ้าเมืองสองแคว จึงหันไปผูกมิตรกับพระเจ้าติโลกราชเมืองเชียงใหม่ ทำให้เกิดการสู้รบยืดเยื้อระหว่างอาณาจักรอยุธยาและอาณาจักรเชียงใหม่ตลอดรัชกาลของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มหัวเมืองเหนือสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงเสด็จขึ้นมาครองเมืองสองแควและโปรดให้พระอินทราชาครองกรุงศรีอยุธยาแทนพระองค์ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงเปลี่ยนแปลงฐานะของเมืองต่าง ๆที่อยู่ในอาณาจักรสุโขทัยเดิมเสียใหม่คือ
1.เมืองที่อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นเอก คือ เมืองสองแคว
2.เมืองที่อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นโท คือ เมืองศรีสัชนาลัย เมืองสุโขทัย เมืองชากังราว และเมืองเพชรบูรณ์
3.เมืองที่อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นตรี ได้แก่ เมืองพิชัย เมืองสระหลวง และเมืองพระบาง
จะเห็นได้ว่าในบรรดาหัวเมืองในอาณาจักรสุโขทัยเดิมเมืองสองแควนับว่าเป็นเมืองที่สำคัญที่สุด ขณะเดียวกันเมืองสุโขทัยเมืองศรีสัชนาลัย อยู่ในฐานะหัวเมืองชั้นโทได้ลดความสำคัญลง เมืองสุโขทัยยังคงมีประชาชนอาศัยอยู่สืบมาจนกระทั่งในสมัยราชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่อยู่ในฐานะที่ต้องส่งส่วยอากรและผลผลิตให้แก่อยุธยาบ้างเก็บผลประโยชน์ให้พม่าบ้าง ตามเหตุการณ์ของสงครามจวบจนกระทั่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าที่เมืองแครง
ในปี พ.ศ. 2127 พระองค์ได้โปรดให้กวาดต้อนคนจากหัวเมืองเหนือลงไปไว้เมืองอยุธยาทั้งหมดเนื่องจากกรุงศรีอยุธยามีกำลังน้อย และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้พม่าใช้กำลังจากหัวเมืองเหนือเป็นบานในการสนับสนุนส่งกำลังบำรุงทำให้สุโขทัยต้องกลายเป็นเมืองอ่อนกำลงลง
การที่สุโขทัยอ่อนกำลังลงเช่นนี้ เป็นผลให้บรรดาสิ่งก่อสร้างปราสาทราชวงวัดวาอาราม คูเมือง กำแพงเมือง และระบบชลประทานต่าง ๆถูกภัยธรรมชาติทำลายให้เสียหาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเห็นว่าศิลปโบราณวัตถุทางศาสนา เช่น เทวรูปและพระพุทธรูปที่งดงามถูกทอดทิ้งจึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายประติมากรรมล้ำค่าเหล่านั้น ไปประดิษฐ์ฐานตามวัดวาอารามต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร ศิลปกรรมของเมืองสุโขทัยส่วนหนึ่งจึงเก็บรักษาอยู่ในกรุงเทพมหานครสืบมา จนกระทั่งบัดนี้สิ่งที่เหลือเป็นอนุสรณ์ของความยิ่งใหญ่ของเมืองในอดีตมีเพียงแต่ซากของสถาปัตยกรรมที่ปรักหักพังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น