ผลเสียของสนธิสัญญาเบาว์ริงก็
1.ไทยถูกจำกัดการเก็บภาษีขาเข้าที่อัตราร้อยละ 3
2.เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและคนในบังคับทำให้ประเทศตะวันตกชักชวนคนชาติเอเชียไปจดทะเบียนเป็นคนในบังคับกฎหมายไทยจึงไม่สามารถควบคุมคนเหล่านั้นได้
3.วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112
วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 คือเหตุการณ์ที่ร้ายแรงจากการที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบที่ปากน้ำเจ้าพระยาเมื่อ
พ.ศ. 2436 ต่อมาได้ประกาศปิดอ่าวไทยและยื่นข้อเรียกร้องจากไทย ทำให้ไทยยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเสียค่าปรับถึง 3 ล้านฟรังก์ หรือประมาณ 1,605,000 บาท นับเป็นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงมากในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่
วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 สืบเนื่องจากการขยายอำนาจของชาติตะวันตกในยุคจักรวรรดินิยมโดยฝรั่งเศสหลังจากได้เวียดนามและเขมรส่วนนอกหรือเขมรด้านตะวันออกแล้วก็พยายามที่ยึดครองลาว
ซึ่งในเวลานั้นเป็นประเทศราชของไทยเพื่อหวังใช้แม่น้ำโขงที่ไหลผ่านลาวเป็นเส้นทางไปสู่จีนซึ่งเป็นตลาดการค้าที่สำคัญ
วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 เริ่มมีความรุนแรงตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2436 เมื่อฝรั่งเศสส่งกำลังทหารเข้ายึดเมืองเชียงแตง
(สตรึงเตร็ง)ทางใต้ของเมืองจำปาศักดิ์ และเมือคำมวน (คำม่วน) ใกล้เมืองนครพนม ซึ่งเป็นของไทยจนมีการสู้รบกัน
ระหว่างนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเตรียมการป้องกันประเทศทรงเร่งรัดการก่อสร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าโดยทรงบริจาคเงิน 10,000 ชั่ง (800,000 บาท )เป็นค่าใช้จ่ายและซื้ออาวุธสำหรับป้อม เพื่อเป็นการรักษาเอกราชของชาติดังที่มีพระราชปณิธานว่า“ถ้าความเป็นเอกราชของกรุงสยามได้สิ้นสุดไปเมื่อใด ชีวิตฉัน (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ก็คงจะสุดสิ้นไปเมื่อนั้น”ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2436 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ส่งเรือรบ 2 ลำ คือ เรือโกแมต (Comete) และเรือแองกองสตังต์ (Inconstant)โดยมีเรือชองแบปตีสเซ (Jean Baptiste Say หรือJ.B. Say) เป็นเรือนำร่อง เพื่อมาสมทบกับเรือลูแตง (Lutin) ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วรัฐบาลคัดค้านเรื่องนี้เพราะเป็นการละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศทั้งสองที่อนุญาตให้มีเรือรบเข้ามาจอดได้เพียงลำเดียวรัฐบาลฝรั่งเศสได้สั่งระงับแต่ผู้บังคับการเรือรบทั้งสองอ้างว่าได้รับคำสั่งให้นำเรือรบทั้งสองลำให้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯในตอนเย็นวันที่ 13 กรกฎาคม เวลา 18นาฬิกาเศษ เรือฝรั่งเศสทั้ง 3 ลำได้เข้ามาใกล้ป้อมพระจุลจอมเกล้า
ปืนที่ป้อมพระจุลจอมเกล้าซึ่งเป็นปืนใหญ่สมัยใหม่ได้ยิงเตือนแต่เรือรบฝรั่งเศสไม่ยอมหยุดและยิงตอบโต้ผลการสู้รบเรือนำร่องของฝรั่งเศสถูกยิงเกยตื้นทหารเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 3 นาย ทหารไทยเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 41 นาย
แต่เรือรบฝรั่งเศสทั้ง 2 ลำ สามารถแล่นขึ้นมาจอดที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศสได้ในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ ให้มีประกาศว่า “อย่าได้ตื่นตกใจว่าจะมีการรบพุ่งรัฐบาลได้เตรียมการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของราษฎรแล้วอีกทั้งมีการเจรจากับฝรั่งเศสทั้งที่กรุงปารีสและกรุงเทพฯ ด้วย” ทางฝ่ายไทยได้ประท้วงรัฐบาลฝรั่งเศสและเรียกร้องให้ถอนเรือรบออกไปแต่รัฐบาลฝรั่งเศสได้สั่งให้นายออกัสต์ ปาวี (August Pavie) ทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯยื่นคำขาดต่อไทยว่าไทยต้องสละสิทธิ์ในดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงพร้อมกับรื้อถอนด่านในบริเวณดังกล่าว ลงโทษผู้ที่ต่อสู้กับฝรั่งเศสจ่ายค่าปรับไหมและค่าทำขวัญเป็นเงิน 3 ล้านฟรังก์และต้องตอบคำขารดภายใน 48 ชั่วโมงรัฐบาลไทยพยายามขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ แต่ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน จึงตอบคำขาดในวันที่ 22กรกฎาคม พ.ศ. 2436โดยยินยอมและโต้แย้งบางประเด็น เช่น เงินค่าปรับไหม และค่าทำขวัญน่าจะเกินความเป็นจริงส่วนที่เกิดไทยควรจะได้คืน
ฝรั่งเศสไม่พอใจคำตอบของไทย ถือว่าไทยปฏิเสธคำขาดดังนั้นจึงตัดความสัมพันธ์ทางการทูตในวันที่ 26 กรกฎาคม
ฝรั่งเศสได้ถอนเรือรบทั้ง 3 ลำออ และไปยึดเกาะสีชัง ประกาศปิดอ่าวไทยโดยให้เวลา 3 วันสำหรับเรือต่างๆ ที่จะถอนสมอออกไป ครั้งถึงวันที่ 29 กรกฎาคม ฝรั่งเศสได้ขยายพื้นที่การปิดล้อมเพิ่มขึ้นสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆดังนั้นไทยจึงแจ้งให้ฝรั่งเศสทราบว่าจะรับคำขาดเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยและชาวต่างประเทศแต่ฝรั่งเศสยังเรียกร้องเพิ่มเติมว่าจะยึดปากน้ำและจันทบุรีไว้จนกว่าไทยจะถอนกำลังที่อยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงจนหมดสิ้นเมื่อไทยยอมรับข้อเรียกร้องเพิ่มเติมการปิดล้อมปากน้ำจึงยุติลงในต้นเดือนสิงหาคมฝรั่งเศสได้ถอนกำลังไปยึดเมืองจันทบุรี โดยประจำอยู่ที่แหลมสิงห์หลังจากนี้เป็นการเจรจาทางการทูตและมีการลงนามในสนธิสัญญาไทย ฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436 ณ ที่ทำการราชวัลลภ
ในพระบรมมหาราชวังซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
1.ไทยยกดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง รวมทั้งเกาะในแม่น้ำให้ฝรั่งเศส
2.ไทยจะไม่สร้างด่าน ค่าย ที่อยู่ของทหารในเขต 25กิโลเมตร บนฝั่งขวาแม่น้ำโขง
3. ฝรั่งเศสจะตั้งกงสุลในที่ใดๆ ก็ได้ เช่น ที่นครราชสีมา เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีสัญญาเพิ่มเติมว่าผู้ที่ต่อสู้กับทหารฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึง พระยอดเมืองขวาง(ยำ ยอดเพ็ชร)
จะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลและทนายฝรั่งเศสจะอยู่ที่จันทบุรีจนกว่าไทยจะปฏิบัติตามหนังสือสัญญาได้ครบถ้วนแต่ปรากฏว่าเมื่อไทยปฏิบัติตามหนังสือสัญญาได้ครบถ้วนฝรั่งเศสก็ยังไม่ถอนกำลังออกจากจันทบุรี จน พ.ศ. 2446จึงถอนตัวออกแต่ไปยึดเมืองตราดแทน โดยไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติม คือ มโนไพร จำปาศักดิ์ และหลวงพระบาง ฝรั่งเศสยึดเมืองตราดจนถึง พ.ศ. 2449
จึงถอนตัวออกโดยที่ไทยต้องยกเมืองพระตะบองเสียมราฐและศรีโสภณให้เป็นการแลกเปลี่ยนดังนั้นจึงเห็นได้ว่า วิกฤตการณ์ ร.ศ.
112ได้คุมคามอำนาจอธิปไตยของไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ. 2436 จนถึง พ.ศ. 2449 วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้
1. ทำให้ไทยเสียดินแดนหลายครั้ง รวมทั้งเสียค่าปรับ ค่าทำขวัญแก่ฝรั่งเศส กล่าวกันว่าเงินที่จ่ายเป็นค่าปรับ ค่าทำขวัญแก่ฝรั่งเศสนั้น คือ เงินถุงแดงซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้เพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
2. ไทยยังคงรักษาเอกราชไว้ได้ และเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดยที่ไทยใช้นโยบายทางการทูตแบบผ่อนหนักเป็นเบาและยอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้
3.ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความจำเป็นยิ่งขึ้นที่จะต้องเสด็จประพาสประเทศในทวีปยุโรปเพื่อแสวงหาพันธมิตรช่วยค้ำประกันเอกราชของไทยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสทวีปยุโรปครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2440 ซึ่งเป็นผลดีต่อไทยมากเพราะพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซียได้สนับสนุนการรักษาเอกราชของไทยเป็นอย่างดี นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงศึกษาและทอดพระเนตรความเจริญของประเทศต่างๆซึ่งทรงนำมาเป็นแบบอย่างในการพัฒนาประเทศไทยและยกเลิกธรรมเนียมที่ล้าสมัย
4.ไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามโลกเกิดขึ้น 2 ครั้ง และไทยก็เกี่ยวข้องทั้ง ครั้ง คือ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457– 2461) ไทยเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในระยะหลังๆ ของสงครามโดยส่งทหารไปร่วมรบในทวีปยุโรป แต่ยังไม่ทันได้ร่วมรบ สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็สงบลง ในสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482 –2488) มีผลต่อไทยโดยตรงและไทยเกี่ยวข้องตั้งแต่ระยะแรกๆของสงครามแม้ว่าไทยจะไม่ใช่สมรภูมิที่สำคัญ แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ด้านทวีปเอเชียก็มีผลต่อไทยมาก
2.เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและคนในบังคับทำให้ประเทศตะวันตกชักชวนคนชาติเอเชียไปจดทะเบียนเป็นคนในบังคับกฎหมายไทยจึงไม่สามารถควบคุมคนเหล่านั้นได้
3.วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112
วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 คือเหตุการณ์ที่ร้ายแรงจากการที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบที่ปากน้ำเจ้าพระยาเมื่อ
พ.ศ. 2436 ต่อมาได้ประกาศปิดอ่าวไทยและยื่นข้อเรียกร้องจากไทย ทำให้ไทยยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเสียค่าปรับถึง 3 ล้านฟรังก์ หรือประมาณ 1,605,000 บาท นับเป็นวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงมากในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่
วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 สืบเนื่องจากการขยายอำนาจของชาติตะวันตกในยุคจักรวรรดินิยมโดยฝรั่งเศสหลังจากได้เวียดนามและเขมรส่วนนอกหรือเขมรด้านตะวันออกแล้วก็พยายามที่ยึดครองลาว
ซึ่งในเวลานั้นเป็นประเทศราชของไทยเพื่อหวังใช้แม่น้ำโขงที่ไหลผ่านลาวเป็นเส้นทางไปสู่จีนซึ่งเป็นตลาดการค้าที่สำคัญ
วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 เริ่มมีความรุนแรงตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2436 เมื่อฝรั่งเศสส่งกำลังทหารเข้ายึดเมืองเชียงแตง
(สตรึงเตร็ง)ทางใต้ของเมืองจำปาศักดิ์ และเมือคำมวน (คำม่วน) ใกล้เมืองนครพนม ซึ่งเป็นของไทยจนมีการสู้รบกัน
ระหว่างนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเตรียมการป้องกันประเทศทรงเร่งรัดการก่อสร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าโดยทรงบริจาคเงิน 10,000 ชั่ง (800,000 บาท )เป็นค่าใช้จ่ายและซื้ออาวุธสำหรับป้อม เพื่อเป็นการรักษาเอกราชของชาติดังที่มีพระราชปณิธานว่า“ถ้าความเป็นเอกราชของกรุงสยามได้สิ้นสุดไปเมื่อใด ชีวิตฉัน (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ก็คงจะสุดสิ้นไปเมื่อนั้น”ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2436 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ส่งเรือรบ 2 ลำ คือ เรือโกแมต (Comete) และเรือแองกองสตังต์ (Inconstant)โดยมีเรือชองแบปตีสเซ (Jean Baptiste Say หรือJ.B. Say) เป็นเรือนำร่อง เพื่อมาสมทบกับเรือลูแตง (Lutin) ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วรัฐบาลคัดค้านเรื่องนี้เพราะเป็นการละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศทั้งสองที่อนุญาตให้มีเรือรบเข้ามาจอดได้เพียงลำเดียวรัฐบาลฝรั่งเศสได้สั่งระงับแต่ผู้บังคับการเรือรบทั้งสองอ้างว่าได้รับคำสั่งให้นำเรือรบทั้งสองลำให้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯในตอนเย็นวันที่ 13 กรกฎาคม เวลา 18นาฬิกาเศษ เรือฝรั่งเศสทั้ง 3 ลำได้เข้ามาใกล้ป้อมพระจุลจอมเกล้า
ปืนที่ป้อมพระจุลจอมเกล้าซึ่งเป็นปืนใหญ่สมัยใหม่ได้ยิงเตือนแต่เรือรบฝรั่งเศสไม่ยอมหยุดและยิงตอบโต้ผลการสู้รบเรือนำร่องของฝรั่งเศสถูกยิงเกยตื้นทหารเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 3 นาย ทหารไทยเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 41 นาย
แต่เรือรบฝรั่งเศสทั้ง 2 ลำ สามารถแล่นขึ้นมาจอดที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศสได้ในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ ให้มีประกาศว่า “อย่าได้ตื่นตกใจว่าจะมีการรบพุ่งรัฐบาลได้เตรียมการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของราษฎรแล้วอีกทั้งมีการเจรจากับฝรั่งเศสทั้งที่กรุงปารีสและกรุงเทพฯ ด้วย” ทางฝ่ายไทยได้ประท้วงรัฐบาลฝรั่งเศสและเรียกร้องให้ถอนเรือรบออกไปแต่รัฐบาลฝรั่งเศสได้สั่งให้นายออกัสต์ ปาวี (August Pavie) ทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯยื่นคำขาดต่อไทยว่าไทยต้องสละสิทธิ์ในดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงพร้อมกับรื้อถอนด่านในบริเวณดังกล่าว ลงโทษผู้ที่ต่อสู้กับฝรั่งเศสจ่ายค่าปรับไหมและค่าทำขวัญเป็นเงิน 3 ล้านฟรังก์และต้องตอบคำขารดภายใน 48 ชั่วโมงรัฐบาลไทยพยายามขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ แต่ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน จึงตอบคำขาดในวันที่ 22กรกฎาคม พ.ศ. 2436โดยยินยอมและโต้แย้งบางประเด็น เช่น เงินค่าปรับไหม และค่าทำขวัญน่าจะเกินความเป็นจริงส่วนที่เกิดไทยควรจะได้คืน
ฝรั่งเศสไม่พอใจคำตอบของไทย ถือว่าไทยปฏิเสธคำขาดดังนั้นจึงตัดความสัมพันธ์ทางการทูตในวันที่ 26 กรกฎาคม
ฝรั่งเศสได้ถอนเรือรบทั้ง 3 ลำออ และไปยึดเกาะสีชัง ประกาศปิดอ่าวไทยโดยให้เวลา 3 วันสำหรับเรือต่างๆ ที่จะถอนสมอออกไป ครั้งถึงวันที่ 29 กรกฎาคม ฝรั่งเศสได้ขยายพื้นที่การปิดล้อมเพิ่มขึ้นสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆดังนั้นไทยจึงแจ้งให้ฝรั่งเศสทราบว่าจะรับคำขาดเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยและชาวต่างประเทศแต่ฝรั่งเศสยังเรียกร้องเพิ่มเติมว่าจะยึดปากน้ำและจันทบุรีไว้จนกว่าไทยจะถอนกำลังที่อยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงจนหมดสิ้นเมื่อไทยยอมรับข้อเรียกร้องเพิ่มเติมการปิดล้อมปากน้ำจึงยุติลงในต้นเดือนสิงหาคมฝรั่งเศสได้ถอนกำลังไปยึดเมืองจันทบุรี โดยประจำอยู่ที่แหลมสิงห์หลังจากนี้เป็นการเจรจาทางการทูตและมีการลงนามในสนธิสัญญาไทย ฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436 ณ ที่ทำการราชวัลลภ
ในพระบรมมหาราชวังซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
1.ไทยยกดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง รวมทั้งเกาะในแม่น้ำให้ฝรั่งเศส
2.ไทยจะไม่สร้างด่าน ค่าย ที่อยู่ของทหารในเขต 25กิโลเมตร บนฝั่งขวาแม่น้ำโขง
3. ฝรั่งเศสจะตั้งกงสุลในที่ใดๆ ก็ได้ เช่น ที่นครราชสีมา เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีสัญญาเพิ่มเติมว่าผู้ที่ต่อสู้กับทหารฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึง พระยอดเมืองขวาง(ยำ ยอดเพ็ชร)
จะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลและทนายฝรั่งเศสจะอยู่ที่จันทบุรีจนกว่าไทยจะปฏิบัติตามหนังสือสัญญาได้ครบถ้วนแต่ปรากฏว่าเมื่อไทยปฏิบัติตามหนังสือสัญญาได้ครบถ้วนฝรั่งเศสก็ยังไม่ถอนกำลังออกจากจันทบุรี จน พ.ศ. 2446จึงถอนตัวออกแต่ไปยึดเมืองตราดแทน โดยไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติม คือ มโนไพร จำปาศักดิ์ และหลวงพระบาง ฝรั่งเศสยึดเมืองตราดจนถึง พ.ศ. 2449
จึงถอนตัวออกโดยที่ไทยต้องยกเมืองพระตะบองเสียมราฐและศรีโสภณให้เป็นการแลกเปลี่ยนดังนั้นจึงเห็นได้ว่า วิกฤตการณ์ ร.ศ.
112ได้คุมคามอำนาจอธิปไตยของไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ. 2436 จนถึง พ.ศ. 2449 วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้
1. ทำให้ไทยเสียดินแดนหลายครั้ง รวมทั้งเสียค่าปรับ ค่าทำขวัญแก่ฝรั่งเศส กล่าวกันว่าเงินที่จ่ายเป็นค่าปรับ ค่าทำขวัญแก่ฝรั่งเศสนั้น คือ เงินถุงแดงซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้เพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
2. ไทยยังคงรักษาเอกราชไว้ได้ และเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดยที่ไทยใช้นโยบายทางการทูตแบบผ่อนหนักเป็นเบาและยอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้
3.ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความจำเป็นยิ่งขึ้นที่จะต้องเสด็จประพาสประเทศในทวีปยุโรปเพื่อแสวงหาพันธมิตรช่วยค้ำประกันเอกราชของไทยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสทวีปยุโรปครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2440 ซึ่งเป็นผลดีต่อไทยมากเพราะพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซียได้สนับสนุนการรักษาเอกราชของไทยเป็นอย่างดี นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงศึกษาและทอดพระเนตรความเจริญของประเทศต่างๆซึ่งทรงนำมาเป็นแบบอย่างในการพัฒนาประเทศไทยและยกเลิกธรรมเนียมที่ล้าสมัย
4.ไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามโลกเกิดขึ้น 2 ครั้ง และไทยก็เกี่ยวข้องทั้ง ครั้ง คือ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457– 2461) ไทยเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในระยะหลังๆ ของสงครามโดยส่งทหารไปร่วมรบในทวีปยุโรป แต่ยังไม่ทันได้ร่วมรบ สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็สงบลง ในสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482 –2488) มีผลต่อไทยโดยตรงและไทยเกี่ยวข้องตั้งแต่ระยะแรกๆของสงครามแม้ว่าไทยจะไม่ใช่สมรภูมิที่สำคัญ แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ด้านทวีปเอเชียก็มีผลต่อไทยมาก