สงครามท่าดินแดง
1.เป็นสงครามใหญ่ที่ข้าศึกมีกำลังมากกว่าไทยถึง 2 เท่าเศษ แต่ไทยมีชัยชนะต่อข้าศึกอย่างงดงามโดยเปลี่ยนยุทธวิธีจากการตั้งรับที่ราชธานีเป็นไปตั้งรับที่เขตชายแดนชัยชนะในสงครามดังกล่าวทำให้ข้าศึกไม่ได้ยกกองทัพใหญ่มาโจมตีราชธานีของไทยอีกเลยและไทยได้ตอบโต้ไปโจมตีข้าศึกในเวลาต่อมา
2.พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงแสดงพระราชปณิธานในการปกครองประเทศให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาแลมนตรี”
หมายถึงจะทรงอุปถัมภกหรือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ป้องกันบ้านเมือง ทำให้ราษฎรและขุนนางทั้งหลายร่มเย็นเป็นสุขซึ่งเวลาต่อมาได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่สำคัญ คือ ทรงสังคายนาพระไตรปิฎกให้มีความถูกต้อง ทรงปกป้องและขยายพระราชอาณาเขตทรงชำระกฎหมายตราสามดวงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในบ้านเมืองทรงฟื้นฟูพระราชประเพณีและทรงบำรุงอักษรศาสตร์จนทำให้ราษฎรทั้งหลายมีขวัญและกำลังใจดีในการประกอบอาชีพมีชีวิตอย่างปลอดภัยประเทศมีความมั่นคงและรุ่งเรืองสืบต่อมา
3.การทำสนธิสัญญาเบาว์ริง พ.ศ. 2398 การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2398ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความสำคัญต่อไทย คือ เป็นการเปิดกว้างประเทศไทย ทำให้ไทยเข้าสู่สังคมนานาชาติมีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆทำให้ไทยเริ่มการปรับปรุงประเทศให้เป็นแบบสากลสนธิสัญญาเบาว์ริงก่อให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจในระยะสั้นๆแต่ทำให้ไทยถูกจำกัดในเรื่องสิทธิการเก็บภาษีขาเข้าเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและเรื่องคนในบังคับต่างชาติ
ในสมัยรัตนโกสินทร์ไทยเริ่มทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับชาติตะวันตก คือ อังกฤษในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2369 โดยเป็นสนธิสัญญาที่เท่าเทียมกันไม่มีชาติใดเสียเปรียบต่อกัน ต่อมาในพ.ศ. 2385 อังกฤษทำสนธิสัญญาหนานจิง (หรือนานกิง)กับจีนอังกฤษได้สิทธิพิเศษในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตคือคนในบังคับอังกฤษเมื่อทำผิดไม่ต้องขึ้นศาลและถูกลงโทษตามกฎหมายจีนและข้อกำหนดอัตราภาษีขาเข้าที่ต่ำและชัดเจน ซึ่งต่อมากำหนดไว้ที่ร้อยละ 5 อังกฤษจึงต้องการปรับปรุงสนธิสัญญากับไทยให้ทำเหมือนอย่างจีนสหรัฐอเมริกาซึ่งได้ทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2375 ก็ต้องการปรับปรุงสนธิสัญญากับไทยเหมือนกันจึงได้ส่งทูตเข้ามาเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาทางพระราชไม่ตรีในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
แต่พระองค์ไม่ทรงยินยอมเพราะทรงเห็นว่าสนธิสัญญาที่มีอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ต่อมาอังกฤษได้ส่งทูตเข้ามาขอแก้ไขสนธิสัญญาอีกแต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงยินยอมเช่นกันการที่ไทยไม่ยินยอมแก้ไขสนธิสัญญาทำให้ทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษไม่พอใจจนคิดจะใช้กำลังบีบบังคับไทยเช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาใช้กำลังทางเรือไปบีบบังคับญี่ปุ่นจนสำเร็จมาแล้ว(สหรัฐอเมริกาใช้กำลังทางเรือบังคับญี่ปุ่นให้เปิดประเทศและทำสนธิสัญญาคานากาวะ (Kanagawa)เมื่อ พ.ศ. 2397)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อ พ.ศ. 2394ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องยินยอมตามข้อเรียกร้องของชาติตะวันตกจึงทรงติดต่อกับเซอร์ จอห์น เบาว์ริง(Sir John Bowring) ข้าหลวงอังกฤษประจำเกาะฮ่องกงผู้ซึ่งจะเป็นราชทูตมาเจรจาไขสนธิสัญญากับไทยว่ายินดีที่จะแก้ไขสนธิสัญญาแต่ขอเวลาให้งานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสร็จสิ้นก่อนและขอทราบความต้องการของอังกฤษในการแก้ไขสนธิสัญญาเพื่อไทยจะได้ปรึกษาเป็นการภายในก่อนการแก้ไขสนธิสัญญาก็จะทำได้เร็วขึ้น เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เดินทางเข้ามาถึงเมืองไทยในปลายเดือนมีนาคมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและทรงตั้งคณะกรรมการเพื่อเจรจาแก้ไขสนธิสัญญามีพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงธิราชสนิทเป็นประธานทำกันที่พระราชวังเดิม คือพระราชวังเก่าของพระเจ้าตากสินมหราราช การเจรจาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีและมีการลงนามในสนธิสัญญาในต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2398
2.พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงแสดงพระราชปณิธานในการปกครองประเทศให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาแลมนตรี”
หมายถึงจะทรงอุปถัมภกหรือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ป้องกันบ้านเมือง ทำให้ราษฎรและขุนนางทั้งหลายร่มเย็นเป็นสุขซึ่งเวลาต่อมาได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่สำคัญ คือ ทรงสังคายนาพระไตรปิฎกให้มีความถูกต้อง ทรงปกป้องและขยายพระราชอาณาเขตทรงชำระกฎหมายตราสามดวงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในบ้านเมืองทรงฟื้นฟูพระราชประเพณีและทรงบำรุงอักษรศาสตร์จนทำให้ราษฎรทั้งหลายมีขวัญและกำลังใจดีในการประกอบอาชีพมีชีวิตอย่างปลอดภัยประเทศมีความมั่นคงและรุ่งเรืองสืบต่อมา
3.การทำสนธิสัญญาเบาว์ริง พ.ศ. 2398 การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2398ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความสำคัญต่อไทย คือ เป็นการเปิดกว้างประเทศไทย ทำให้ไทยเข้าสู่สังคมนานาชาติมีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆทำให้ไทยเริ่มการปรับปรุงประเทศให้เป็นแบบสากลสนธิสัญญาเบาว์ริงก่อให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจในระยะสั้นๆแต่ทำให้ไทยถูกจำกัดในเรื่องสิทธิการเก็บภาษีขาเข้าเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและเรื่องคนในบังคับต่างชาติ
ในสมัยรัตนโกสินทร์ไทยเริ่มทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับชาติตะวันตก คือ อังกฤษในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2369 โดยเป็นสนธิสัญญาที่เท่าเทียมกันไม่มีชาติใดเสียเปรียบต่อกัน ต่อมาในพ.ศ. 2385 อังกฤษทำสนธิสัญญาหนานจิง (หรือนานกิง)กับจีนอังกฤษได้สิทธิพิเศษในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตคือคนในบังคับอังกฤษเมื่อทำผิดไม่ต้องขึ้นศาลและถูกลงโทษตามกฎหมายจีนและข้อกำหนดอัตราภาษีขาเข้าที่ต่ำและชัดเจน ซึ่งต่อมากำหนดไว้ที่ร้อยละ 5 อังกฤษจึงต้องการปรับปรุงสนธิสัญญากับไทยให้ทำเหมือนอย่างจีนสหรัฐอเมริกาซึ่งได้ทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2375 ก็ต้องการปรับปรุงสนธิสัญญากับไทยเหมือนกันจึงได้ส่งทูตเข้ามาเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาทางพระราชไม่ตรีในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
แต่พระองค์ไม่ทรงยินยอมเพราะทรงเห็นว่าสนธิสัญญาที่มีอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ต่อมาอังกฤษได้ส่งทูตเข้ามาขอแก้ไขสนธิสัญญาอีกแต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงยินยอมเช่นกันการที่ไทยไม่ยินยอมแก้ไขสนธิสัญญาทำให้ทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษไม่พอใจจนคิดจะใช้กำลังบีบบังคับไทยเช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาใช้กำลังทางเรือไปบีบบังคับญี่ปุ่นจนสำเร็จมาแล้ว(สหรัฐอเมริกาใช้กำลังทางเรือบังคับญี่ปุ่นให้เปิดประเทศและทำสนธิสัญญาคานากาวะ (Kanagawa)เมื่อ พ.ศ. 2397)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อ พ.ศ. 2394ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องยินยอมตามข้อเรียกร้องของชาติตะวันตกจึงทรงติดต่อกับเซอร์ จอห์น เบาว์ริง(Sir John Bowring) ข้าหลวงอังกฤษประจำเกาะฮ่องกงผู้ซึ่งจะเป็นราชทูตมาเจรจาไขสนธิสัญญากับไทยว่ายินดีที่จะแก้ไขสนธิสัญญาแต่ขอเวลาให้งานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสร็จสิ้นก่อนและขอทราบความต้องการของอังกฤษในการแก้ไขสนธิสัญญาเพื่อไทยจะได้ปรึกษาเป็นการภายในก่อนการแก้ไขสนธิสัญญาก็จะทำได้เร็วขึ้น เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เดินทางเข้ามาถึงเมืองไทยในปลายเดือนมีนาคมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและทรงตั้งคณะกรรมการเพื่อเจรจาแก้ไขสนธิสัญญามีพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงธิราชสนิทเป็นประธานทำกันที่พระราชวังเดิม คือพระราชวังเก่าของพระเจ้าตากสินมหราราช การเจรจาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีและมีการลงนามในสนธิสัญญาในต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2398